หน้าหลักเว็บบอร์ด > ลป.ชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์ เขียนกระทู้ใหม่
ลป.ชื่น วัดตาอี บุรีรัมย์
 
 

หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ 
วัดตาอี อ. บ้านกรวด จ. บุรีรัมย์

พระผู้เรืองเวทย์ตำรับเขมรโบราณ ผู้มากด้วยเมตตาบารมี เสกหินโยนลงสระน้ำกลายเป็นงูยักษ์ชาวบ้านเห็นตะลึง

สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เกิดกลียุคทั่วโลก ยิ่งประเทศเล็กประเทศน้อยได้รับผลกระทบมากที่สุด นอกจากข้าวยากหมากแพงแล้ว ประชาชนยังต้องรับกรรมหนักเพราะครอบครัวแตกสลายเนื่องจากความแร้นแค้นยากจนเป็นสาเหตุใหญ่

ครอบครัวของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ซึ่งเป็นชาวกัมพูชาก็ได้รับความรุนแรงของไฟสงครามเช่นเดียวกัน ทำให้ญาติพี่น้องของหลวงปู่ชื่นล้มหายตายจากไปหลายคน ซึ่งประเทศกัมพูชาขณะนั้นร้อนระอุสุดๆ จนดูโหดร้ายไปทุกอย่าง ทำให้หลวงปู่ชื่นเกิดความเบื่อหน่ายจึงเดินธุดงค์เข้ามายังแผ่นดินไทยที่มีแต่ความสงบร่มเย็น

“หลวงปู่ชื่น” นามเดิม ชื่น นามสกุล ศรีโสด เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 11 ปีมะเมีย ตรงกับปี พ.ศ. 2461 เกิดที่บ้านหินกอง อำเภอหินกอง จังหวัด สวายศรีโสพล ประเทศ กัมพูชา โยมบิดา ชื่อ นายชุม โยมมารดา ชื่อ พิม ศรีโสด มีพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน 7 คน คือ นายเรียว นายโพธิ์ นายบุญ นายเกิด หลวงปู่ชื่น นางยอด และนางยาว ครอบครัวมีอาชีพทำนาทำไร่ตามประสาชาวบ้านในชนบททั่วไปของชาวเขมร

ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่ชื่นนิสัยท่านเป็นคนใจบุญ มีความสุขุมลุ่มลึก และมีใจโอบอ้อมอารีชอบเอื้อเฟือเผื่อแผ่ต่อเพื่อนฝูง-ญาติพี่น้อง ทั้งยังมีจิตใจเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาตั่งแต่เด็กๆ พออายุได้ 15 ปี ได้ขอบิดา-มารดา บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งพ่อ-แม่ไม่ขัดของ ท่านจึงได้บวชเป็นสามเณร วัดในหมู่บ้านเกิดของท่าน

หลังจากบวชเณรได้ระยะหนึ่งพอถึงอายุ 20 ปี หลวงปู่ชื่นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยได้รับนามฉายาว่า “ติคญาโณ” 

เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยสมบูรณ์แล้ว หลวงปู่ชื่นได้ศึกษาบทสวดมนต์และบทสวดปาติโมกข์ ซึ่งใช้เวลาเพียงหนึ่งพรรษาก็สวดพระปาติโมกข์ได้แล้ว นับว่าหาพระที่เก่งเช่นนี้น้อยมาก เพราะการท่องบทพระปาติโมกข์พระบางรูปต้องใช้เวลานานนับ 5 ปี 10 ปี เนื่องจากเป็นบทสวดที่ยาวและยากที่สุดนั้นเอง

“หลวงปู่ชื่นสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังจากนั้นท่านจึงออกเดินธุดงค์ปลงสังขารลัดเลาะไปตามป่าดงพงพี ข้ามเขาลงห้วยในดินแดนประเทศกัมพูชา ทำให้ท่านได้พบกับครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ อยู่หลายรูป ซึ่งแต่ละอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดวิชาอาคมที่ตนมีอยู่ให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น โดยเฉพาะฤาษีที่บำเพ็ญพรตอยู่กลางป่าดงดิบได้ถ่ายทอดวิชาขั้นสุดยอดให้หลวงปู่ชื่น เพื่อให้นำไปช่วยเหลือศิษย์ต่อไปอีก”

หลวงปู่ชื่นเป็นพระเถระที่มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มีศีลจารวัตรที่งดงาม ชอบบำเพ็ญกุศลเพื่อเสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้น ท่านจะตื่นตั่งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์ และช่วงค่ำก็เช่นกันท่านจะสวดมนต์มิได้ขาด (นอกจากจะมีกิจนิมนต์และป่วยเท่านั้น)

“หลวงปู่ชื่นชอบทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นที่สุด และให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ทั้งหลายอีกด้วย ท่านจึงเป็นที่รักเคารพของศิษย์และประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมากในขณะนี้”

หลวงปู่ชื่น ติคญาโณ เป็นศิษย์สาย “เขากุเลน” ซึ่งเป็นศูนย์รวมเวทวิทยาอาคมชั้นสูง ที่เป็นฉบับแท้ดั้งเดิมของเขมรโบราณ อาจารย์องค์แรกของท่านคือ “หลวงปู่เอื้อย” และหลวงปู่ดี สุวรรณดี สองปรมาจารย์ผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำ ทั้งยังอิทธิฤทธิ์-ปาฎิหาริย์มากมายเป็นที่เลื่องลือกันมากในประเทศกัมพูชา

หลวงปู่ชื่นได้มองเห็นกาลไกลไปข้างหน้าว่า “พระเวทวิทยาคม” ที่ท่านกำลังศึกษาอยู่นี้จะเป็นประโยชน์มากแก่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาทั้งยัง ได้ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมและผู้เดือดร้อนต่างๆในอนาคตภายหน้าแน่นอน ท่านจึงมุมานะพยายามขยันศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมจนสุดความสามารถ ตลอดจนศึกษาการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย เพื่อเพิ่มพูนพลังจิตให้แก่กล้าขึ้น

“หลวงปู่ชื่นท่านเรียนกรรมฐานควบคู่ไปกับวิชาอาคมจนท่านเรียนรู้ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว โดยมีการทดสอบจากผู้เป็นอาจารย์จนเป็นที่พอใจ โดยเฉพาะหลวงปู่เอื้อยท่านมีเมตตาถ่ายทอดวิชาและเคล็ดลับต่างๆให้หลวงปู่ชื่นจนหมดสิ้น หลวงปู่เอื้อยท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในเขมร ดังชนิดผู้หลักผู้ใหญ่ในเขมรขณะนั้นยังมอบตัวเป็นศิษย์หลายคน”

ในเวลาต่อมาเมื่อหลวงปู่เอื้อยมรณภาพลง หลวงปู่ชื่นจึงออกเดินธุดงค์บุกป่าฝ่าดงในดินแดนเขมรเพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์อีกมากกมาย จนกระทั่งท่านได้พบกับ หลวงปู่ดี สุวรรณดี บน “เขากุเลน” ซึ่งท่านเป็นพระผู้มากด้วยอภิญาญานชั้นสูง และเป็นผู้มีพลังจิตอันลึกล้ำมหัศจรรย์เหนือโลกโดยแท้

ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่ชื่น ติคญาโณ ทำให้หลวงปู่ดีรับหลวงปู่ชื่นเป็นศิษย์แล้งจึงพากันออกเดินธุดงค์ไปด้วยกันตามสถานที่ต่างๆ 

“หลวงปู่ชื่นได้ศึกษากรรมฐานและเวทวิทยาคมกับธาตุทั้ง 4 ตลอดจนเกร็ดเคล็ดลับการสร้างของขลังการปลุกเสกวัตถุมงคล เครื่องรางต่างๆมากมายจากหลวงปู่ดี ทำให้ท่านมีวิชาติดตัวมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้”

หลวงปู่ชื่นได้เมตตาเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ในการเดินธุดงค์ของท่านให้ฟังว่า

“หลวงปู่ดีท่านนี้เก่งมาก ท่านเชียวชาญพระเวทแทบทุกชนิด ท่านเคยเสกผ้าให้เป็นนกกระยางได้ และเสกใบไม้ให้เป็นต่อเป็นแตนได้ ทั้งยังรู้ภาษาสัตว์แทบทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านสามารถล่องหนหายตัวและย่นระยะทางได้ ตลอดจนท่านเดินบนผิวน้ำได้อย่างน่าอัศจรรย์อีกด้วย”

หลวงปู่ชื่นเล่าว่า หลวงปู่ดีท่านเคยแสดงให้ดูมาแล้ว ท่านเห็นกับตามาแล้วจึงกล้ามาเล่าให้ฟัง ท่านแสดงให้ดูก็เพื่อให้เป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติธรรมสืบต่อกันไปนั่นเอง

“การเรียนวิชาอาคมจะมีฤทธิ์เข้มขลังได้ ต้องประกอบไปด้วยพลังจิตอันเป็นสมาธิแก่กล้าควบคู่กันไปด้วย” หลวงปู่ชื่นกล่าว

หลวงปู่ชื่นเป็นพระที่คงแก่เรียน คือ ท่านชอบศึกษาค้นคว้าตำรับตำราและวิชาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอักขระ เลขยันต์ หรือ วิชาอาคมอะไรท่านจะทดลองสร้างทดลองปลุกเสกอยู่เสมอ เมื่อท่านลองแล้วเห็นว่าดีจริงและใช้ได้ผลดีจริงตามตำรา ท่านก็คัดวิชาวิเศษเหล่านั้นนำมาสร้างมาปลุกเสกวัตถุมงคลให้บรรดาลูกศิษย์ และลูกหลายท่านให้ได้รับแต่สิ่งที่เป็นมงคลเป็นของวิเศษไว้บูชากัน 

จากการคัดเลือกพิจารณาตรวจจากหลวงปู่ชื่นแล้วว่า “ดีจริงเห็นผลจริง” จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่วัตถุมงคลของท่านมีประสบการณ์ต่อเนื่องเรื่อยมา จนเป็นที่กล่าวขานร่ำลือจากปากของผู้ที่บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นว่ายอดเยี่ยมอยู่ในขณะนี้

ด้วยเหตุนี้จึงขอนำท่านทั้งหลายได้รู้จักหลวงปู่ชื่น เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสรู้จักหลวงปู่อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน และใกล้ชิดหลวงปู่มากขึ้นเพราะลูกศิษย์หลวงปู่บางคนอยู่ห่างไกลซึ่งยังไม่มีโอกาสเดินทางมากราบไหว้หลวงปู่ จะด้วยสาเหตุและปัจจัยใดๆก็ตามกระผมขอเป็นสื่อกลาง ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อเป็นการหยั่งความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่ศิษย์ที่มีความเคารพนับถือหลวงปู่

หรือท่านที่มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไว้แล้ว ขอให้รู้ว่าเราทั้งหลายก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์องค์เดียวกัน เพราะมีวัตถุมงคลที่มาจากการปลุกเสกจากหลวงปู่ด้วยกันทั้งนั้น ทั้งนี้เพื่อช่วยจรรโลงเกียรติคุณของหลวงปู่ชื่นให้แพร่หลายขจรไป ตลอดยั่งยืนนานต่อไปในภายภาคหน้านั้นเอง





พบสหธรรมิกเก่า

หลังจากที่หลวงปู่ชื่นธุดงค์ไปในที่ต่างๆมานาน จนกระทั่งท่านเดินทางไปจำพรรษาอยู่ที่วัดนารากอำเภอครบุรี จังหวัดนครราชสีมา ท่านอยู่ได้ 5 พรรษาจึงได้เดินธุดงค์ต่อเรื่อยไปจวบจนอายุท่านมากขึ้นกำลังวังชาถดถอย ท่านจึงอยู่กับที่ระยะหนึ่ง

ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2524 หลวงปู่ชื่นได้รับนิมนต์เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ งานนั้นหลวงปู่นิล อนุตโร เจ้าอาวาสวัดตาอีรูปปัจจุบันซึ่งเคยเป็น “สหธรรมิก” (เพื่อน) เก่าก่อนกันมาก็ได้รับนิมนต์จากทางเจ้าภาพให้เป็นพระคู่สวดเช่นกัน

หลังจากพระทุกองค์เสร็จจากกิจนิมนต์แล้ว ทางเจ้าภาพได้จัดถวายอาหารเพลให้ฉัน หลวงปู่นิลกับหลวงปู่ชื่นได้นั่งฉันในวงเดียวกัน หลวงปู่นิลหันมองพระที่นั่งอยู่ข้างตัวท่านคิดอยู่ในใจว่าคล้ายเคยเห็นกันมาก่อน แต่ท่านยังจำไม่ได้ว่าเคยเห็นกันที่ไหน เพราะความที่จากกันมานานหลายสิบปีทำให้ท่านทั้งสองแทบจำกันไม่ได้

หลวงปู่นิลได้แต่คิดในใจว่าพระองค์นี้ทำไมช่างเหมือนหลวงปู่ชื่นเสียเหลือเกิน จนอดใจไม่ไหวจึงเอ่ยถามไปว่า “หลวงพ่อท่านอยู่วัดไหน ชื่ออะไร” หลวงปู่ชื่นตอบกลับไปทันที “อาตมาชื่อชื่น เป็นพระธุดงค์ยังไม่มีวัดจำพรรษา” หลวงปู่นิลนั่งคิดตั้งนานที่แท้ก็ใช้หลวงปู่ชื่นจริงๆด้วย เมื่อท่านทั้งสองได้สนทนากันแล้วหลวงปู่นิลจึงได้ออกปากนิมนต์หลวงปู่ชื่นให้มาจำพรรษาอยู่ด้วยกันที่วัดตาอี ประกอบกับช่วงนั้นหลวงปู่ชื่นมีอายุมากแล้วและชาวบ้านตาอีก็ได้นิมนต์ท่านไว้ไม่ให้เดินธุดงค์อีก นับตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ชื่นจึงได้อยู่จำพรรษาที่วัดตาอีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้



เพชรเริ่มทอแสง

หลังจากหลวงปู่ชื่นมาอยู่วัดตาอีแล้วท่านได้เก็บตัวเงียบอยู่แต่ภายในกุฏิหลังเล็กๆ เหมือนพระหลวงตาแก่ๆธรรมดา แทบไม่มีใครรู้เลยว่าท่านเป็นพระที่มี “พลังจิต” และมีอาคมเข้มขลังมาก

จนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2542 หลวงปู่ชื่นได้สร้างวัตถุมงคลออกมา 2-3 รุ่น ผลปรากฏว่าผู้ที่นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาต่างมีประสบการณ์ต่างๆนานามากมาย จากปากต่อปากทำให้วัตถุมงคลที่ท่านบรรจุพลังจิตเวทวิทยาคมที่มี “พลังมหัศจรรย์” ความวิเศษขลัง ยับยั้งภัยพาล อาถรรพณ์จัญไร ขจัดสรรพทุกข์ สรรพโรค สรรพภัย

ที่มีอานุภาพ ทั้งเมตตามหานิยม มหาโชค มหาลาภ ค้าขายดีเยี่ยม คุ้มครองป้องกัน ทำให้ชื่อเสียงของหลวงปู่ชื่นดังขึ้นมาเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับ จากปากผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่ชื่นไปแล้ว ซึ่งผู้นำวัตถุมงคลของท่านไปบูชาส่วนใหญ่ยอมรับว่าวัตถุมงคลของท่านเยี่ยมดีจริงๆใช้แล้วได้ผลเกินคาด ส่วนสาเหตุที่ท่านยอมเปิดตัวและจัดสร้างวัตถุมงคลออกมาเป็นทางการเนื่องจากท่านกำลังก่อสร้างอุโบสถซึ่งยังขาดปัจจัยอยู่อีกมาก อีกประการหนึ่งหลวงปู่เคยบอกไว้ว่า “ถึงเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านให้เปิดตัวแล้ว เพื่อนำความรู้เวทวิทยาคมที่ได้ร่ำเรียนมาสงเคราะห์พุทธศาสนิกชน และจัดสร้างถาวรวัตถุเพื่อการพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องสืบต่อไป” 



เสกหินลงสระกลายเป็นงูยักษ์

เมื่อครั้งที่หลวงปู่ชื่นมาอยู่ที่วัดตาอีใหม่ๆนั้น ท่านได้เร่งทำความเพียรปฏิบัติธรรมจนพลังจิตแก่กล้า ด้วยท่านเป็นพระที่รักสันโดษชอบเก็บตัวเงียบๆอยู่แต่ภายในกุฏิ ชาวบ้านจึงคิดว่าท่านเป็นหลวงตาแก่ๆไม่มีอะไร เป็นพระธรรมดาไม่มีวิชาอาคมอันใด

ต่อมาทางวัดได้ขุดสระใหม่ทางเจ้าอาวาสจึงประกาศบอกชาวบ้านว่า “ห้ามลงอาบน้ำในสระ” เพราะสระน้ำแห่งนี้พระเณรต้องใช้ดื่มกิน แต่ชาวบ้านขาดความเกรงใจท่าน ตกเย็นทั้งหนุ่มสาวพากันลงว่ายน้ำเล่นในสระอย่างสนุกสนาน บ้างก็นำผ้ามาซักทำให้ฟองแฟ็บที่ซักลอยเต็มคุ้งสระ บอกแล้วก็เฉย เตือนแล้วก็ไม่หยุด

หลวงปู่ชื่นจึงใช้ไม้ตายเพื่อให้รู้จักที่ต่ำที่สูง และที่มิควรกันบ้าง ท่านจึงนำก้อนหินมาสองก้อนแล้วเสกด้วยคาถาอาคมจากนั้นท่านจึงโยนลงไปในสระน้ำ

“สามวันต่อมาพวกที่ชอบลงเล่นน้ำในสระภายในวัดต่างก็ตกใจแตกตื่นขึ้นตลิ่งกันแทบไม่ทัน เพราะเห็นพญางูยักษ์สองตัวว่ายน้ำไปมาในสระให้เห็นกับตากันจะจะ ชาวบ้านตาอีเห็นกันทั้งหมู่บ้าน”

เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือกันมากในอำเภอบ้านกรวด ถ้าหากใครที่มีโอกาสได้ไปที่วัดตาอีลองสอบถามชาวบ้านดูก็ได้ และจากวันนั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกล้าลงไปเล่นน้ำในสระที่วัดตาอีกันอีกเลย..ที่กล่าวมาเป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นในเรื่องประสบการณ์อภินิหารของผู้ที่ได้บูชาวัตถุมงคลของหลวงปู่

 
ผู้ตั้งกระทู้ โชติ :: วันที่ลง 26/08/2557 21:25:16 จำนวนอ่าน : 640

 
กรุณาใส่ให้ครบตามที่เครื่องหมาย * ระบ
:: แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ ::
ชื่อผู้ตอบ
กรุณากรอกข้อมูล*
Email
 
  พิมพ์อักขระ ตามที่คุณเห็นในภาพ
  กรุณาเข้าสู่ระบบ